บทความทางวิชาการโหร เรื่อง ดาวโคจร พักร – มณฑ์ – เสริด
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ ขอทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลายก่อนว่า ความจริงในทางดาราศาสตร์ กับความจริงในทางโหราศาสตร์นั้นต่างกัน ความจริงตามที่เป็นจริงในการโคจรของดวงดาวเป็นจริงในทางดาราศาสตร์ แต่การเห็นดาวโคจรจริงในทางโหราศาสตร์นั้น เป็นความจริงตามที่ตาเห็น
เมื่อไม่นานมานี้ มีวิศวกรท่านหนึ่งที่ชอบพอกันได้สอบถามว่า ดาวโคจร พักร – มณฑ์ – เสริด นั้น มันโคจรอย่างไร ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย ข้าพเจ้าคิดว่าคนระดับนี้สงสัย น่าจะมีคนอีกไม่น้อยที่สงสัยในเรื่องนี้ จึงได้นำเรื่องนี้มาเขียน อาจเป็นประโยชน์บ้าง ผิดถูกอย่างไร ลองพิจารณาดู
ตามปฎิทินดาราศาสตร์ คัมภีร์สุริยะยาตร์ คัมภีร์สารัมภ์ มีการกำหนดการโคจรของดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวราหู ดาวเกตุ ดาวมฤตยู คำนวณไว้ในระดับองศา – ลิปดา แต่ที่น่าแปลกน่าฉงนคือ มีดาวบางดวงที่โคจรพักร คือ ดาวที่โคจรถอยหลัง ไม่โคจรไปข้างหน้าตามเวลาอันจำปรารถนาแห่งตน ดาวโคจรมณฑ์ คือ ดาวที่จรอยู่กับที่ ไม่โคจรไปข้างหน้าตามเวลาอันจำปรารถนาแห่งตน ดาวโคจรเสริด คือ ดาวที่โคจรไปข้างหน้าเร็วกว่าเวลาอันจำปรารถนาแห่งตน สามารถตรวจสอบให้รู้ได้ตามปฏิทินโหราศาสตร์
ตามความเป็นจริงในทางดาราศาสตร์ไม่มีดาวดวงใดเลยโคจรอยู่กับที่ หรือพักร หรือมณฑ์ หรือเสริด ดาวทุกดวงโคจรไปข้างหน้าเวียนซ้ายรอบดวงอาทิตย์ มีดาวเกตุและดาวราหูเท่านั้นที่โคจรย้อนจักรเวียนไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา ในทางวิทยาศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ถือว่าพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ส่วนทางโหราศาสตร์นั้นถือว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดาวทุกดวงโคจรเวียนรอบโลก ซึ่งมีคำนวณไว้ตามปฏิทิน
เป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อตรวจดูตามปฏิทินมีดาวโคจร พักร-มณฑ์-เสริด ที่เป็นเช่นนี้เพราะดาวที่โคจรจริงกับดาวที่โคจรตามที่ตาเห็นนั้นแตกต่างกันเพราะวงโคจรไม่เท่ากัน ซึ่งเมื่อไล่จากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล ออกมาถึงโลกจะเห็นว่ามีดาวพระเคราะห์วงในอยู่ 2 ดวง คือ ดาวพุธกับดาวศุกร์ ซึ่งมีวงโคจรเล็กกว่าโลก จึงโคจรเร็วกว่า ส่วนดาวอังคารถึงดาวมฤตยูนั้น เป็นดาวพระเคราะห์วงนอก วงโคจรใหญ่กว่า จึงโคจรช้ากว่าโลก
ดาวบางดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปพร้อมๆกับโลก เมื่อมองดาวจากโลกออกไป เห็นดาวพระเคราะห์วงใน เช่น ดาวศุกร์ ซึ่งจะโคจรห่างจากโลกได้ไม่เกิน 48 องศา แต่ในปฏิทินเป็นการคำนวณการโคจรของดวงอาทิตย์แทนโลก ฉะนั้น ดาวศุกร์จึงโคจรห่างดวงอาทิตย์ได้ไม่เกิน 48 องศา เมื่อตอนที่ดาวศุกร์โคจรนำหน้าพระอาทิตย์ไปจนสุดแล้วจะดูเหมือนองศาห่างออกไปเรื่อยๆ จะเห็นเหมือนดาวศุกร์จรปกติไปไกลสุดแล้ว เราจะเห็นเหมือนดาวศุกร์จรถอยหลังลงมา องศาลดลงมาเรื่อยๆ ที่เรียกว่า พักรองศา พอถอยหลังลงมาจนอยู่ในระนาบเดียวกัน คือ โลก ดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์ เรียกว่า ดาวศุกร์พักดับ หรือ ศุกร์เพ็ญ (ดาวศุกร์ไม่สามารถจะโคจรไปทำมุม 180 องศากับโลกได้) แล้วดูเหมือนดาวศุกร์จะถอยหลังลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดห่างสุดแล้ว จะหยุดชั่วขณะหนึ่งเรียกว่า จุดวิกลคติ (Stationary) แล้วเดินหน้าเป็นปกติเข้าไปหาดวงอาทิตย์ แล้วก็ทับกันสนิทองศาอีกเรียกว่า ดาวศุกร์เข้าสู่จุดดับ ตามปฏิทินจะจรเข้าทับอาทิตย์สนิทองศา แล้วโคจรไปข้างหน้าจนถึงระยะห่างสุด แล้วจะดูเหมือนหยุดอยู่กับที่ ที่เรียกว่าจุดวิกลคติ (Staionary) แล้วดูเหมือนองศาจะถอยกลับเข้าหาดวงอาทิตย์อีก เป็นเช่นนี้ตลอดไป และดาวพุธมีการโคจรในลักษณะเดียวกัน ส่วนดาวอังคารรวมถึงดาวพระเคราะห์วงนอก วงโคจรกว้างออกไปช้ากว่าโลก (ดาวอาทิตย์) จึงสามารถโคจรทำมุม 180 องศากันได้ ในปฏิทินจะอยู่ในราศีตรงกันข้าม โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ลักษณะการโคจรก็เหมือนๆกัน กล่าวคือ ลักษณะการโคจรเป็นวงกลมเมื่อมองจากโลกไป จะเห็นเหมือนบางขณะองศาจะห่างดวงอาทิตย์ออกไป จนสุดระยะปล่องสุดของวงกลมในปฏิทิน จะเห็นดาวอาทิตย์กับดาวอังคาร จรทำมุมกันอยู่ 90 องศาในรูปที่ 3 ดูเหมือนดาวอังคารจรหยุดนิ่ง ที่เรียกว่า จุดวิกลคติ (Stationary) แล้วดูเหมือนดาวอังคารจรพักรถอยหลังลดองศาลงไปเรื่อยๆ จนมาทับกันสนิทองศา
แผนผังการโคจรของดาวพระเคราะห์วงใน
เมื่อเรายืนอยู่บนโลกมองดูดาวศุกร์และดาวอาทิตย์โคจรรอบโลก เราจะเห็นว่าดาวศุกร์และดาวอาทิตย์โคจรไปด้วยกันเวียนซ้ายจากจุดที่ 1-4 ดาวศุกร์จะจรนำหน้าดาวอาทิตย์ มีองศาห่างมากขึ้นโดยลำดับจนไปไกลสุดจะได้ไม่เกิน 48 องศา แล้วจะหยุด ณ. ที่ 4 จุด นี้ เรียกว่าจุด วิกลคติ Stationary จากจุดที่ 4-7 ดาวศุกร์จะดูเหมือนจรถอยหลัง องศาลดลงมาเรื่อย จนถึงจุดที่ 7 จะทับอาทิตย์สนิทองศา มองดูจากโลกจะเป็นเส้นตรง จากโลก – ดาวศุกร์ – ดวงอาทิตย์ จุดนี้เรียกว่า ดาวศุกร์พักรดับ หรือศุกร์เพ็ญ ดาวศุกร์จะอยู่ใกล้โลกมากที่สุด จากนั้นจะถอยพักรองศาลงไปเรื่อยๆ จนถึงไกลสุด แล้วจะหยุดนิ่ง เรียกว่าจุด วิกลคติ Stationary ตรงจุดที่ 10 โดยถอยจากจุดที่ 7 องศา จะลดลงเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดที่ 10 แล้วจะหยุดอยู่ประมาณ 4 วัน (ดาวพุธหยุดอยู่ 2 วัน) แล้วจะเริ่มโคจรเดินหน้า เป็นปกติจากจุดที่ 10-1 อันเป็นจุดที่เรากำหนดเริ่มต้น และจะโคจรวนเวียนอยู่เช่นนี้อีกนานแสนนาน จนกว่าโลกและระบบนี้จะถูกทำลายตามกฎ
ส่วนดาวพระเคราะห์วงนอก เช่น ดาวอังคาร เมื่อโคจรไปอยู่ตรงกันข้ามกับโลก ทำมุม 180 องศา โดยมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง ตามปฏิทิน ดาวอาทิตย์และอังคารจะอยู่ในราศีเดียวกัน เมื่อทับกันสนิทองศา เรียกว่า ดาวอังคารโคจรดับ อยู่ไกลโลกมากที่สุด ดังรูปที่ 1
ต่อไปดาวอาทิตย์ และดาวอังคาร ก็จรไปด้วยกันแต่ดวงอาทิตย์โคจรเร็วกว่า จึงจรอยู่ในระยะทำมุมกันประมาณ 120 องศา ระยะนี้จะมองเห็นดาวอังคารโคจรช้าลง เหมือนมองรถคันหน้าที่วิ่งช้า แต่รถคันหลังเร็วกว่า จึงมองดูเหมือนรถคันหน้าวิ่งช้าลง ดังรูปที่ 2
ต่อไปดวงอาทิตย์ (โลก) และดาวอังคารก็จรไปด้วยกันแต่ดวงอาทิตย์โคจรเร็วกว่า ก็โคจรไล่ดาวอังคารจนไปทำมุมกันประมาณ 90 องศา จะดูเหมือนดาวอังคารหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ที่จุดสูงสุดของวงโคจร เมื่อลากเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางแล้วจะทำมุมตรง 90 องศาพอดี จึงดูเหมือนหยุดนิ่งแล้วมุมองศาจะค่อยลดลงไปเรื่อยๆ ดังรูปที่ 3
ต่อไปเมื่อโลกโคจร (ดาวอาทิตย์โคจร) ไปเท่าทันองศากับดาวอังคาร อยู่ในราศีเดียวกันตามปฎิทิน ดาวอังคารจะจรมาอยู่ใกล้โลกมากที่สุด เรียกว่า อังคารเพ็ญ ดาวอังคารจะจรอยู่ในราศีตรงกันข้ามกับดาวอาทิตย์ ทำมุมประมาณ 180 องศา ดังรูปที่ 4
ต่อไป ดวงอาทิตย์ซึ่งโคจรเร็วกว่า ก็จะจรล้ำหน้าดาวอังคารไป เหมือนรถคันหนึ่งวิ่งมาทันรถคันหน้าซึ่งวิ่งช้ากว่าแล้ววิ่งแซงขึ้นหน้าไปด้วยอัตราความเร็วมากกว่า เมื่อเรามองดู เหมือนรถคันหลังวิ่งถอยหลังไป ฉะนั้น เมื่อจรไปถึงจุดห่างสุดของระยะวงโคจร เมื่อลากเส้นจากดาวอังคารมายังจุดศูนย์กลางแล้ว ลากเส้นจากดาวอาทิตย์ไปยังเส้นรอบวงจะเป็นมุมฉาก 90 องศา ระยะนี้จะมองเห็นดาวอังคารโคจรหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เรียกจุดนี้ว่าจุด วิกลคติ อังคารจะหยุดนิ่งอยู่ 8 วัน แล้วจะเริ่มโคจรเดินหน้าดังรูปที่ 5
ต่อไปดาวอังคารก็โคจรเดินหน้าตามปกติ ดังรูปที่ 6 คล้ายกับรูปที่ 2 ต่างกันแต่รูปที่ 6 ดาวอังคารโคจรตามหลังโลกนั่นเอง ดังแผนผังดาวพระเคราะห์วงนอกโคจร ส่วนดาวอื่นๆ ก็โคจรมีลักษณะเดียวกัน เว้นแต่ดาวราหูกับดาวเกตุ ซึ่งเป็นเงาที่ทางดาราศาสตร์เรียกว่า Moon North Node คือดาวราหู และ Moon South Node คือดาวเกตุ จะโคจรย้อนกลับเป็นตรงกันข้ามกับดาวที่เป็นตัวบังแสง ได้เขียนรายละเอียดไว้ในบทความเรื่องวันกำเนิดโลก โดยโหรละโว้แล้ว
เรื่องดาวพระเคราะห์โคจรนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งจะต้องนำไปประกอบในส่วนของภาคพยากรณ์อันเป็นผลมาจากภาคคำนวณ ในหลักวิชาโหรกว้างๆ กำหนดไว้ว่า ดาวที่โคจรปกติ มีผลพยากรณ์ปกติ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์จักรทีปนี หากว่า ดาวดวงใดโคจรผิดปกติ พักร-มณฑ์-เสริด ก็ส่งผลพยากรณ์ผิดแผกแตกต่างไปจากผลพยากรณ์ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ อันมีรายละเอียดลึกซึ้งมาก ซึ่งข้าพเจ้าได้ประมวลไว้สอนผู้มาฝากตัวเป็นศิษย์ เฉพาะเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทายให้เป็นหนึ่งเดียวได้ จำเป็นต้องรู้ไม้เด็ดเคล็ดลับสูงสุดของวิชาโหร ซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้ทดสอบแล้วสามารถกำหนดวันที่เกิดโชคเกิดเคราะห์ วันเกิดอุบัติเหตุ วันมีโชคฟลุ๊คถูกลอตเตอรี่ โดยทายกำหนดเพียงวันเดียว มิใช่กำหนดทายเขาว่า เดือนนี้ ปีนี้ จะมีโชคมีเคราะห์ ข้าพเจ้ายืนยันว่าวิชานี้เป็นศาสตร์โหรา ไม่ใช่ไสยเวทย์มนต์ดำหรืออำนาจจิตแต่อย่างใด และสามารถพิสูจน์ตรวจสอบได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีข้อมูล วัน เดือน ปี เวลา และสถานที่เกิดถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและเจอโหราจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจริงเท่านั้น ข้าพเจ้าขอรับรองว่าวิชานี้ทายเป็นหนึ่งเดียวได้ เช่นเดียวกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ทายเป็นหนึ่งเดียวว่า ในอนาคตสิทธัตถะราชกุมารจะเสด็จออกบวช และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น
-----------------------------------------------------
บทความของละโว้โหรา....... 4 กุมภาพันธ์ 2560
(นายพูลศักดิ์ แสงคล้อย) 081-163-5197