ในระยะอันใกล้นี้ ด้วยอำนาจของดวงดาว ผู้ให้รังสี ความสว่างและความมืด ทำให้ผู้ที่เกิดอยู่ในรัศมีของอำนาจนี้ เกิดข่ายเคราะห์ขึ้นได้ ใครจะถูกบ้างนั้น ควรให้โหรผู้รู้คำนวณดวงชะตาให้อย่างละเอียด ก็จะรู้ได้ และหาวิธีป้องกันตามหลักภาคพิธีกรรมทางโหราศาสตร์ หรือตามหลักพุทธศาสน์ไว้เสียก่อน ดีกว่าวัวหายแล้วค่อยล้อมคอก หรือจะเรียกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน”
มนุษย์เราส่วนใหญ่เกรงกลัวราหูกันมาก เพราะเหตุไม่รู้ความจริง บ้างก็นำของดำ 12 สิ่งไปบูชาพระราหู บ้างก็สวดอ้อนวอน ถวายเครื่องเซ่นบูชา เพื่อขอพร และขอขมาลาโทษ มิให้ทำร้ายตน ทั้งที่ไม่รู้ชัดว่าราหูคือใคร มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
ถ้าว่ากันตามตำนานโหราศาสตร์ ในคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวว่า ราหูเป็นเทพยดาอัฏฐเคราะห์ ซึ่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าชุบขึ้นมาจาก ผีหัวขะโมด 12 หัว มีกายสีทองสัมฤทธิ์ อยู่วิมานสีนิล ทรงครุฑเป็นพาหนะ
ถ้าว่ากันตามเทพนิยาย ราหูเป็นบุตรของท้าวเวปจิตติกับนางสิงหิกา เกิดมาผิดเหล่ากอ มีหางเหมือนงูหรือนาค มีฤทธิ์มากเหมือนเทวดา แต่ใจคอออกจะโหดร้าย มุทะลุดุดัน ท่องเที่ยวไปได้ในสามโลก มีครุฑเป็นพาหนะ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประพฤติตัวเป็นพวกจรจัด
ตามตำนานชาติเวรดาวพระเคราะห์ในชาติปางก่อนตั้งแต่ปฐมกัป มีพระอาทิตย์เกิดเป็นพระยาครุฑ พฤหัสบดีเกิดเป็นพระอินทร์ พระเสาร์เกิดเป็นพระยานาค พระอังคารเกิดเป็นพระยาราชสีห์ ดำริร่วมกันจะสร้างสระน้ำไว้ให้อาศัยแก่มนุษย์และเทวดา จึงพากันไปปรึกษาพระราหู เพราะเห็นว่ามีฤทธิ์มาก แต่พระราหูกลับไม่สนใจ อ้างว่า เรามิได้อาศัยแผ่นดินแผ่นน้ำ พวกท่านอยากทำก็ทำกันเองเถิด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เทวดาทั้งหลายก็ไม่ชอบหน้าพระราหู และช่วยกันสร้างสระชื่อ “สุรามฤต” จนสำเร็จ แล้วแบ่งหน้าที่กันรักษา
วันหนึ่งเมื่อจะมีเหตุ พระยาครุฑอยากกินนาคเป็นอาหาร จึงบินเข้าขับไล่ เพื่อจะจับนาคเป็นอาหาร นาคเห็นดังนั้น ก็ตกใจกลัวแล้วรีบว่ายน้ำหนีไปหาพระราหู แล้วร้องตะโกนให้ราหูช่วย ราหูเห็นดังนั้น จึงร้องตวาดไปว่า “เหวยๆ ไอ้ครุฑใจบาป เอ็งจะมาไล่กินพวกข้าเยียใด” ครุฑจึงร้องตอบไปว่า “อ้าว ! ก็นาคนั้นเป็นอาหารแห่งเรา เราจะกินนาคเป็นอาหาร มันผิดตรงใด" ราหูได้ยินดังนั้นก็โกรธ คว้ากระบองโดดเข้าไล่ตีพระยาครุฑ พระยาครุฑสู้ไม่ได้ก็บินหนีไปพึ่งพระอินทร์ พระราหูขับมาจนเหนื่อยจึงเหาะลงไปนั่งพักอยู่ริมขอบสระสุรามฤต เกิดหิวน้ำเป็นกำลัง จึงดื่มกินน้ำอัมฤทธิ์จนอิ่ม พระอินทร์ออกมาเห็นเข้าพอดี ด้วยความโกรธที่มีอยู่แต่หนหลัง จึงขว้างจักรไปตัดตัวราหูขาดออกเป็น 2 ท่อน เดชะได้ดื่มน้ำอัมฤทธิ์จึงไม่ตาย หัวอยู่ส่วนหัว หางอยู่ส่วนหาง ลอยอยู่ในอากาศ มีหน้าตาเหมือนยักษ์ กำลังกลืนกินพระจันทร์
บางตำนานกล่าวว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีผัว-เมีย มีบุตร 3 คน เมื่อจำเริญวัยขึ้น วันหนี่งเป็นวันพระใหญ่ บิดามารดาก็ชวนบุตรทั้งสามไปทำบุญ พี่ชายคนโตได้ขันทอง พี่ชายคนกลางได้ขันเงิน ใส่อาหารไปทำบุญ ส่วนน้องเล็กคนสุดท้องไม่มีอะไรใส่อาหารไปทำบุญ จึงมีความขุ่นเคืองโกรธแค้นพี่ชายทั้งสองยิ่งนัก จึงขูดกะลาใส่ข้าวไปทำบุญ
พี่ชายคนโต ใส่บาตรแล้วอธิษฐานว่า “ชาติหน้าต่อไป ขอให้ไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ มีแสงสว่างในตัวโคจรไปได้ในท้องฟ้านภากาศ” ส่วนพี่ชายคนกลาง อธิษฐานว่า “เกิดชาติหน้าต่อไป ขอให้ไปเกิดเป็นพระจันทร์เทวบุตรมีแสงสว่างโคจรไปได้ในนภากาศ” เมื่อราหูน้องเล็กได้ยินดังนั้น ด้วยอำนาจของความโกรธ จึงอธิษฐานขึ้นว่า “ในชาติต่อไป ขอให้เกิดมามีร่างกายใหญ่โต มีฤทธิ์มีอำนาจ สามารถจับและกลืนกินพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ เมื่อตายจากชาตินั้นไปแล้ว ก็พากันไปเกิดตามแรงอธิษฐานของตน พี่ชายคนโตเกิดเป็นพระอาทิตย์ พี่ชายคนกลางเกิดเป็นพระจันทร์เทวบุตร ส่วนน้องเล็กเกิดเป็นพระราหู ต่างคนต่างมีฤทธิ์ โคจรเหาะเหิรไปได้ในอากาศ วันใดพระราหูเหาะไปได้ทันก็จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กิน บางคาบกินได้บางส่วน บางคาบกินได้หมดดวง
ในทางโหราศาสตร์ ยกพระราหูขึ้นเป็นดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่ง โคจรรอบโลกและดวงอาทิตย์ ใช้เลข ๘ แทนรูปดาว มีกำลัง 12 เพราะได้อาศัยธาตุน้ำเป็นต้นกำเนิดชีพ แล้วโคจรจากด้านทิศใต้ ผ่านดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่ง แล้วโคจรเลยมาอยู่ในตำแหน่งของตนนับได้ 12 ตำแหน่ง ตามหลักทางทักษา แต่ในทางโหราศาสตร์ระบบจักราศี กำหนดให้ราหูเป็นเกษตราธิบดี อยู่ราศีกุมภ์ อันเป็นเรือนของพระเสาร์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน นัยว่าให้อยู่ฟรีๆไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่มีกำลังอิทธิฤทธิ์ สร้างความสำเร็จและความร่ำรวยแบบฟลุ๊กๆอย่างน่าอัศจรรย์ ให้กับผู้คนที่มีลัคนาหรือจันทร์ ที่อยู่ในโยคเกณฑ์ที่ดีกับราหู ราหูโคจรรอบจักราศีหนึ่งรอบ เป็นเวลา 18.6 ปี ใช้เวลาราศีละ 1 ปีครึ่ง โคจรเวียนขวา ตามเข็มนาฬิกา วันละประมาณ 3 ลิปดา
ส่วนดาวเกตุ ท่อนหางของราหู ตามปฎิทินสากล จะอยู่ตรงข้ามกับราหูตลอดเวลาโดยทำมุม 180 องศาต่อกัน แต่ตามคัมภีร์ของไทยเรา ระบบสุริยยาตร์ ของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว คำนวณการโคจรของดาวราหู เวียนขวา ตามเข็มนาฬิกาทุกวัน วันละประมาณ 32 ลิปดา ราศีละประมาณ 56 วัน จึงมิได้อยู่ตรงกันข้ามหรือทำมุมกัน 180 องศากับดาวเกตุ เหมือนอย่างสากล