ในทางดาราศาสตร์ ราหูและเกตุ ไม่ใช่ดาว ไม่ใช่เทหวัตถุ ไม่มีมวลเป็นเพียงเงา มี 2 ลักษณะ คือ เงามืด เรียกว่า บูรณฉายา และ เงามัว อุปฉายา การจะเกิดเงาขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีเทหวัตถุเรืองแสง ส่องแสงไปกระทบกับเทหวัตถุหนึ่ง และเงาของเทหวัตถุนั้นไปบังแสง ไม่ให้ส่องสว่างไปยังอีกเทหวัตถุหนึ่งบนท้องฟ้า ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นเทหวัตถุนั้นชั่วขณะที่กำลังบังกันอยู่
ในทางวิทยาศาสตร์ ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลและพลังงาน ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปมาได้ ดังที่ไอน์สไตน์ ได้กำหนดเป็นทฤษฎี E = MC2 หลักการนี้ พระพุทธเจ้าได้ค้นพบด้วยพระองค์เองมาก่อนแล้วและละเอียดละออมากกว่าไอน์สไตน์มากนัก ดังที่พระพุทธองค์ได้กำหนดเป็นทฤษฎี ปฏิจจสมุปบาท ตามความรู้และความเข้าใจของผู้เขียน E = ฝ่ายพลังงาน อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดมวล = M คือ รูปอันเป็นส่วนผสมของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ. ส่วน C2 นั้น เทียบได้กับความไวของจิตวิญญาณ ซึ่งมีความไวมาก จนไม่มีมาตราวัดความไวของจิตวิญญาณได้
บทความในย่อหน้านี้ หากไม่ถูกต้องตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ขออย่าได้เป็นคำตู่คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ขอได้โปรดเมตตาประทานอภัยให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
ดวงจันทร์โคจรรอบโลกวันละประมาณ 13๐ องศา โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วันละประมาณ 1 องศา หรือประมาณ 60 ลิปดา ในขณะเดียวกันดวงจันทร์ โลก ก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ไปด้วยกัน วันใดที่ดวงอาทิตย์ โคจรไปตามเส้นระวิมรรค ECLIPTIC ตามที่ปรากฏในปฏิทินทางโหราศาสตร์ ซึ่งแท้ที่จริงก็คือ โลกโคจรไปในทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ในขณะเดียวกัน พระจันทร์ก็โคจรมาตามเส้นจันทรมรรค MOON PATH บรรจบกันที่เส้นระวิมรรค ปรากฏเป็นจุดตัดกันขึ้น ภาษาโหรเรียกว่า “จันทรปาต” MOON’S NODE”.
เส้นวงโคจรของระวิมรรคและจันทรมรรค จะเอียงทำมุมกันอยู่ประมาณ 5 องศา จึงมีจุดตัดกันขึ้น 2 จุด ทางเหนือเรียกว่า MOON NORTH NODE ทางใต้เรียกว่า MOON SOUTH NODE ทั้ง 2 จุดนี้รวมเรียกว่า MOON’S NODE จันทรปาต เมื่อพระจันทร์โคจรมาถึงจุดจันทรปาต แล้วจะโคจรขึ้นไปทางทิศเหนือของเส้นระวิมรรค เราเรียกว่า ASCENDING NODE อุทัยปาต หรือนั่นก็คือ เจ้าวายร้ายหรือจะเป็นพระเอกของเราก็เป็นได้ เขาละเจ้า “ราหู” ตัวจริง ซึ่งผู้คนทั้งเกลียด ทั้งกลัว ทั้งเข็ดขยาด หากเขาจะเล่นงานใคร ก็ทำให้คนนั้นวิบัติฉิบหาย ถึงตายไปเลยก็มี คนที่จะยืนยันพิษร้ายของราหูได้ดีไม่มีใครเหมือน ก็เห็นจะไม่มีใครเกินสุนทรภู่ ลองฟังดู
“ เมื่อขาล่องต้องตอเรือหล่อล่ม
เจียนจะจมน้ำม้วยระหวยระหาย
ปะหาดตื้นขึ้นรอดไม่วอดวาย
แต่ปะตายหลายหนหากทนทาน
แล้วมิหนำซ้ำบุตรสุดที่รัก
ขโมยลักหลายหนผจญผลาญ
ต้องต่ำต้อย ย่อยยับ อัประมาณ
มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น
โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน
สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น
ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น
เปรียบเหมือนเช่นพราหมณ์ชีมณีจันท์
กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกระฎี
ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู
ต้องขัดเคืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์
จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู
ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู
แม้นขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร
เครื่องกระฎีที่ยังเหลือแต่เสื่อขาด
เข้าไสยาสน์ยุงกัดปัดไม่ไหว
เคยสว่างกลางคืนขาดฟืนไฟ
จะโทษใครเคราะห์กรรมจึงจำทนฯ”
ต่อจากนี้ไปจะพาท่านไปรู้จักกับองคาพยพของราหู เมื่อถูกพระอินทร์ขว้างจักรตัดขาดออกจากตัว ส่วนหัวแล้วส่วนหางก็ล่องลอยไปในนภากาศ แต่ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนักไม่ค่อยมีใครเห็นไม่ค่อยมีใครพูดถึง จะมีบ้างก็แต่ในทางโหราศาสตร์ กำหนดว่า เมื่อดวงจันทร์โคจรมาถึงจุด MOON’S NODE จุดจันทปาต แล้วก็โคจรลงไปทางทิศใต้ของเส้นระวิมรรค เรียกว่า DESCENDING NODE อัสตะปาต หรือเกตุนั่นเอง การเคลื่อนที่ของสองจุดนี้จะเท่ากันและเล็งกันอยู่ตลอดเวลา ปรากฏตามปฏิทินดาราศาสตร์ ระบบนิรายนะของลาหิรี
กบกินเดือน ข้าพเจ้านาย พูลศักดิ์ แสงคล้อย ผู้เขียน เคยได้ยินคำนี้มาตั้งแต่เด็กๆ และเคยเห็นจันทรคราสอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน กล่าวคือ พระจันทร์สว่างๆเต็มดวงอยู่แท้ๆบัดเดี๋ยวก็กลับเว้าแหว่งไปหมดทั้งดวง กลับมืดมนอนธการไปต่อหน้าต่อตา ไม่นานนักก็กลับฟื้นคืนชีวาสว่างขึ้นมาอีก ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พ่อแม่บอกให้เอาไม้ไปเคาะต้นไม้ นัยว่าจะทำให้ต้นไม้มีผลดกและเจริญงอกงามดี แท้ที่จริงมันน่าจะเป็นอุบายหรือภูมิปัญญาอะไรสักอย่างของคนโบราณ คล้ายๆกับว่าทำให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจที่จะมากับความมืดทำนองนั้น
มีครั้งหนึ่งสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 1 โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย อ.เมืองสุพรรณบุรี ประมาณสามโมงเช้า เก้านาฬิกา กำลังเล่นฟุตบอลอยู่กลางสนาม อยู่ๆกลับมืดขึ้นมาเฉย นกกาบินกลับรังกันเป็นโกลาหล มีผู้รู้บอกว่า เกิดสุริยคราสหรือสุริยุปราคาหมดดวง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
ต่อเมื่อข้าพเจ้าได้มาศึกษาวิชาโหร มันก็จำเป็นต้องศึกษาวิชาดาราศาสตร์ไปด้วย เพราะดวงดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในระบบสุริยะจักรวาล SOLAR SISTEM มันเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดูดวง ถึงได้รู้ว่า กบกินเดือนหรือสุริยคราสก็คือ ดวงจันทร์โคจรไปบังดวงอาทิตย์ ทำให้เราอยู่บนโลกในส่วนหรือพื้นที่ที่เงาของดวงจันทร์ตกกระทบ มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ไปชั่วขณะ ในทางโหราศาสตร์ปรากฏตามปฏิทิน ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ โคจรเข้าไปร่วมราศี ร่วมองศาสนิท และอยู่ในระนาบเดียวกันกับโลก ทำให้ดวงจันทร์บังแสงของดวงอาทิตย์ เกิดเป็นเงาของดวงจันทร์ตกกระทบไปยังพื้นโลก เมื่อดวงจันทร์เข้าไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้แสงรัศมีของดวงอาทิตย์บดบังแสงของดวงจันทร์เสียสิ้น ทำให้เรามองไม่เห็นดวงจันทร์ซึ่งจะตรงกับแรม 15 ค่ำ ท้องฟ้าจะมืดสนิท แต่การดับของดวงจันทร์ในวันแรม 15 ค่ำ มิได้ทำให้เกิดสุริยคราสเสมอไป จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเขาโคจรไปด้วยกันกุมกันสนิทองศา แล้วทำมุมกับดาวราหู อย่างมาก 18 องศา 31 ลิปดา อย่างน้อย 15 องศา 21 ลิปดา จึงจะเกิดสุริยคราสบางส่วน หากมีระยะห่างจากราหูอย่างมาก 11 องศา 50 ลิปดา อย่างน้อย 9 องศา 55 ลิปดา จึงจะเกิดสุริยคราสเต็มดวง เหมือนดังที่ข้าพเจ้าเห็นตอนเด็ก
ส่วนจันทรคราสก็มีหลักการเดียวกัน คือ ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ มีโลกอยู่ตรงกลาง ทำให้เงาของโลกไปบังดวงจันทร์ จึงทำให้มองไม่เห็นดวงจันทร์ ทั้งที่วันนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ปุรณมี เดือนหงายสว่างจ้าเต็มท้องฟ้า
ในทางดาราศาสตร์ มีการคำนวณไว้อย่างถูกต้อง การจะเกิดจันทรคราสได้ต้องมีดวงจันทร์โคจรทำมุม 180 องศากับดวงอาทิตย์ ตามปฏิทินโหราศาสตร์โดยมีโลกโคจรบังอยู่ตรงกลาง จากจุดองศาที่ดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ทำมุมเล็งกันอยู่นั้น จะต้องอยู่ห่างจากจุดราหูอย่างมาก 11 องศา 50 ลิปดา อย่างน้อย 9 องศา 55 ลิปดา จึงจะเกิดจันทรคราสบางส่วน แต่ถ้าห่างจากจุดองศาราหู อย่างมาก 6 องศา อย่างน้อย 3 องศา 35 ลิปดา จะเกิดจันทรคราสเต็มดวง