การกำหนดคำนวณ เพื่อทราบจุดจันทรคราสและสุริยคราสนั้น ในวิชาโหราศาสตร์ก็สามารถคำนวณได้มานานแล้ว ด้วยระบบการคำนวณตามคัมภีร์สารัมย์ แม้ในรัชสมัยของพระบามสมเด็จพระจอมเกล้า พระองค์ก็ทรงคำนวณได้อย่างถูกต้อง และทรงทำนายว่าจะเกิดสุริยคราสเต็มดวงในวันที่ 18 สิงหาคม 2411 มองเห็นได้ที่ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และทรงพาข้าราชบริพารและพวกฝรั่งไปชม ณ.จุดนั้นด้วย หลังจากพระองค์เสด็จกลับมาได้เดือนเศษ ก็เสด็จสวรรคต ในวันที่ 1 ตุลาคม 2411
เป็นที่น่าเสียดายในแวดวงโหราศาสตร์ไทย ยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ใด ได้นำดวงพระชะตาของพระองค์ท่านมาพิเคราะห์ว่า พระชะตาของพระองค์ท่านเป็นอย่างไร จึงเมื่อเสด็จกลับมาจากทอดพระเนตรสุริยคราสแล้วไม่นานจึงเสด็จสวรรคต หากมีผู้รู้แตกฉานได้นำมาวิจารณ์ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อวงการโหรมิใช่น้อย โดยมองในแง่โหราศาสตร์ว่า ด้วยเหตุอันใด มีกฎเกณฑ์อย่างไร พระองค์ถึงเสด็จสวรรคตในระยะเวลาใกล้ๆวันเกิดคราส แต่ในทางแพทย์ระบุว่า พระองค์ทรงติดเชื้อมาลาเรีย
ในสมัยก่อน การคำนวณการเกิดคราสเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ปัจจุบันมี COMPUTER ช่วยคำนวณ นับว่าสะดวกและรวดเร็วมาก มนุษย์เราเป็นสัตว์ประเสริฐมีสติปัญญามากกว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ความเป็นไปของห้วงนภากาศและจักรวาล คงมีแต่พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถล่วงรู้ความเป็นไปของจักรวาล เมื่อพระองค์รู้ความจริงและละวางไม่ยึดเหนี่ยวในขันธ์ห้า พระองค์จึงไม่สดุ้งตกใจกลัวและไม่หนีต่อภยันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนมนุษย์ทั่วไปเมื่อไม่รู้ความจริงว่า เหตุอัศจรรย์แปลกประหลาดนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร ก็ตกใจกลัว พากันบูชาเทวดาฟ้าดินให้ช่วยเหลือป้องกันภัย บางเหล่าที่เป็นสาธุชน มีสติปัญญาดี ก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ทรงช่วยเหลือ ให้พ้นจากภัยอันตรายเหล่านั้น พระพุทธเจ้าเมตตาประทานพระคาถา สั่งให้ราหู บุตรท้าวเวปจิตติ อสุรินโท จงปล่อยจงคลายจากการกลืนกินพระอาทิตย์ พระจันทร์ เทวบุตร หากไม่ยอมปล่อยศีรษะท่านจะแตกออกเป็น 7 เสี่ยง และไม่มีความสุขต่อไปในชีวิต เมื่อพระราหูปล่อยและคลายจากการกลืนกินแล้ว พระอาทิตย์และพระจันทร์เทวบุตร ก็กลับมาโคจรรอบโลก รอบเขาพระสุเมรุ รอบจักรวาลตามปกติ ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง ดูแลความทุกข์สุขของมวลมนุษยชาติตามปกติ ด้วยอำนาจนี้ ทำให้เกิดเป็นภาคพิธีกรรมในทางพุทธศาสตร์และทางโหราศาสตร์ เพื่อช่วยผ่อนปรนเคราะห์ร้ายอันเกิดจากภัยธรรมชาติให้เบาบางลง ด้วยอำนาจบารมีของพระพุทธองค์ อันเป็นหนทางที่ประเสริฐ
แต่การเกิดภัยทางธรรมชาตินั้น มีรัศมีรังสี ความสว่างและความมืด ตกกระทบมายังโลกและดวงดาวต่างๆที่โคจรอยู่ในเวลาเกิดของแต่ละคน แล้วดวงดาวดังกล่าวต่างก็โคจรไปตามหน้าที่และเวลาแห่งตน เมื่อจรมาทับมาเล็ง มาทำมุมโยคเกณฑ์กับดาวในพื้นดวงแล้ว ก็จะบันดาลให้เกิดโชค-เคราะห์ แต่มนุษย์เจ้าของดวงชะตานั้นๆ ซึ่งอาจรู้ได้จากสถิติที่กำหนดไว้ในคัมภีร์จักรทีปนี ผู้ที่ศึกษาวิชาโหรมาอย่างแตกฉานเชี่ยวชาญแล้ว ก็อาจกำหนดรู้ได้ว่า จะเกิดโชค-เคราะห์แก่ดวงชะตาใด เมื่อใด หนักเบาเพียงใด และก็บอกเตือนให้ระวังตัวในการป้องกันบรรเทา ให้เคราะห์ร้ายนั้นหายไป หรือหนักเป็นเบา หรือเบาเป็นหาย ด้วยพิธีกรรมอันบูรพาจารย์ได้กำหนดไว้เป็นแบบอย่าง ส่วนที่เป็นโชคดีนั้น ก็มีพิธีรับโชคให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ในเมืองไทยเรา มีผู้ที่เก่งกล้าสามารถในทางวิชาโหรหลายท่าน หลังจากประเทศไทยได้ประกาศยุบกรมโหร เมื่อปี พ.ศ. 2472 ตำแหน่งอธิบดีกรมโหร ซึ่งก็คือ พระยาโหราธิบดี นั่นเอง ได้หมดสิ้นลงไปด้วย ซึ่งก็มีเหตุผลหลายประการ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ในกรมโหร บรรดาบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ จึงได้นำตำราวิชาการอันเป็นของลึกลับ ออกมารวบรวมเรียบเรียงจำหน่ายในท้องตลาด ทำให้สาธุชนคนรุ่นหลังได้ศึกษากันอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
มีหลายท่านที่ผู้เขียนยกย่อง เพราะได้ความรู้จากหนังสือของท่านบ้าง ท่านสอนแบบมุขปาฐะบ้าง มีอาทิเช่น อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร, อาจารย์ พ.อ.ประจวบ วัชรปาณ, อาจารย์ สิงโต สุริยาอารักษ์, อาจารย์ เชย บัวก้านทอง, พ.อ.(พิเศษ) เอื้อน มณเฑียรทอง, อาจารย์ พลูหลวง เป็นต้น และยังมีอีกหลายท่านที่น่ายกย่อง แต่ปัจจุบันนี้ท่านเหล่านั้นได้ละโลกนี้ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ และยังหาผู้ที่รวบรวมเรียบเรียงต่อยอดวิชาโหรที่ท่านเหล่านั้นได้รวบรวมเรียบเรียงค้นคว้าไว้ ยังไม่ค่อยมี เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
ฉะนั้น ในเรื่องข่ายเคราะห์ที่บุคคลจะได้ประสบนั้น จะเป็นบุคคลใดบ้าง หนักเบาเพียงใด และจะเกิดขึ้นในวันเวลาใด เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเพราะมีตัวแปรหลายตัวในทางโหราศาสตร์ หากมีโหรที่แตกฉานในวิชานี้ สามารถผูกดวงชะตาของท่านได้โดยละเอียด และบอกได้ว่า ท่านจะมีโชค-เคราะห์เมื่อใด หนักเบาอย่างไร ก็จะเป็นการดีมาก เพราะเรารู้ก่อนล่วงหน้าว่า จะเกิดดี-ร้ายแก่เราอย่างไร เมื่อใด เราจะได้หาที่พึ่ง หาทางระวังป้องกันแก้ไขให้ร้ายกลับกลายเป็นดี หรืออย่างน้อยก็สบายใจขึ้น แต่ขอให้พิจารณาโดยสุขุมรอบคอบ อย่างมงายไร้เหตุผล เพราะการดูดวงชะตาก็มีหลากหลายวิธี พิธีกรรมในการปัดเคราะห์สะเดาะดวงก็มีหลากหลายวิธีเช่นเดียวกัน
ขอท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า ในวันที่ 8 ตุลาคม 2557 จะเกิดจันทรคราสหรือจันทรุปราคาเต็มดวง โดยดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่เงามืดของโลก ตั้งแต่เวลา 15:15 น. และจะเริ่มเต็มดวงเวลา 17:25 – 18:24 นาน 59 นาที เมืองไทยเราจะเห็นแค่ 24 นาที ประมาณ 18:00 น.
ผลของคราส จะมีบุคคลบางคน หรือหลายคนที่ดวงชะตาต้องฆาต อาจต้องประสพเคราะห์กรรม นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2557 ไปจนถึงวันที่ 13 มีนาคม 2558 บางท่านอาจอยู่ในข่ายเคราะห์จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2558 เลยทีเดียว เฉพาะบุคคลที่ถูกเกณฑ์ต้องฆาตเคราะห์ร้ายหนัก อาจเกิดเคราะห์ร้ายกับท่านในวันที่ 17-18-19 ต.ค. 2557 ระยะหนึ่ง และจะเกิดในวันที่ 29-30-31 ต.ค. 2557 อีกระยะหนึ่ง บางคนอาจเกิดเหตุร้ายเจ็บป่วย เสียทรัพย์ อุบัติเหตุ หรือเภทภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง บางท่านเกิดอุบัติเหตุแล้วครั้งหนึ่ง อาจไม่เกิดอีกเลยตลอดระยะเวลาในข่ายเคราะห์ แต่ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวเป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือนเลยก็มี
หากท่านผู้ใดอยากรู้ว่าดวงชะตาของตนต้องฆาตหรือไม่ มีทางเดียวเท่านั้น ท่านต้องไปหาโหรที่เก่งๆ แล้วบอกวัน เดือน ปี และเวลาตกฟากให้ตรงกับความจริง โหรจะต้องคำนวณสมผุสองศาของดาวทุกดวง และรู้วิธีเท่านั้น จึงจะบอกท่านได้ เพียงแต่เห็น ลัคน์ จันทร์ ตนุลัคน์ ตนุจันทร์ อยู่ร่วมราศีกับราหู บางดวงไม่เป็นอะไรเลยก็มี อันนี้ต้องใช้ความละเอียดลออและความรอบคอบให้มากที่สุดจึงจะบอกได้ อย่าเพิ่งตื่นตกใจไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง เหมือนดังคำโคลงของกวีเอกของเมืองไทยเขียนไว้ว่า
“...โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน
สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น
ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น
เปรียบเหมือนเช่นพราหมณ์ชีมณีจันท์...”
ท่านไม่ได้พูดรายละเอียด ถ้าไปหยิบเอาเพียงราหูทับยับเยินเผอิญเป็นเท่านี้มาเป็นครู ตกตึกตายแน่ เพราะดาวทุกดวงย่อมมีทั้งคุณและโทษ ราหูทับบางคนตายก็จริง แต่บางคนราหูทับเป็นเศรษฐีมีเยอะแยะไป
ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท รีบเร่งไปหาผู้รู้ตรวจสอบเสียให้ถ่องแท้ หากดวงต้องฆาตจริง ควรรีบแก้ไขเสียแต่ต้นมือ หากปล่อยไปจนแย่ เดี๋ยวจะแก้ไม่ทัน สำหรับตัวผู้เขียนเป็นโหรบ้านนอก มีความรู้น้อย หากเขียนผิดพลาดพลั้งไปตรงที่ใดโปรดอภัยให้ด้วย
ด้วยความรักจากใจจริง
อาจารย์ พูลศักดิ์ แสงคล้อย
นาม มหัทธโน
หน้าโรงพยาบาลเชียงคำ