การดูดวงให้แม่น ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ขั้นแรกมันต้องเรียนรู้เสียก่อนว่า มีปกรณ์โหรใดที่ดูแล้วแม่น ทดสอบแล้วได้ผลดี ปกรณ์โหรใดที่ใช้แล้วไม่ได้ผลดี อย่าไปหอบเอาทุกปกรณ์โหรมาดูดวง ใครทำแบบนี้เรียกว่า “บ้าหอบฟาง” นานไปประสาทจะกิน ตำราจีนเรียกว่า “ธาตุไฟแตก” ฉะนั้นคนฉลาดควรเลือกเป็น
ในวิชาโหรนั้นมีตัวแปรที่ทำให้ดูไม่แม่นเยอะที่เถียงกันไม่จบคือเรื่องปฏิทิน จนถึงปัจจุบันก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เกจิอาจารย์บางท่านบอกว่าต้องปฏิทินดาราศาสตร์ จึงจะแม่นเพราะผลการคำนวณถูกต้องตรงกับดวงดาวที่โคจรจริงอยู่บนท้องฟ้า บางท่านว่าต้องปฏิทินของลาหิรี บางท่านว่าจะให้แน่นอนต้องปฏิทินของนาซ่า ถึงจะตรงกับการโคจรของดวงดาวจริงๆบนท้องฟ้า หากไม่ตรงคงไม่สามารถจะส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้ ข้าพเจ้ายอมรับเหตุผลของท่านทุกคน จุดสำคัญอยู่ที่ว่าปฏิทินไหนล่ะที่ดูดวงแล้วมันถูกต้องแม่นยำ แต่ที่ข้าพเจ้าใช้ก็คือคัมภีร์สุริยศาสตร์ ด้วยเข้าใจว่า คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ดั้งเดิมใช้ควบคู่กันมากับกฎเกณฑ์โหร และคัมภีร์จักรทีปนี โดยสังเกตจากมุมโยคเกณฑ์ของดาวที่โคจรไปมาทับกัน แล้วจดสถิติเป็นคำพยากรณ์จนเป็นคัมภีร์จักรทีปนี ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ได้ทดสอบแล้วก็แม่นยำดี จึงเลือกการคำนวณตามคัมภีร์นี้โดยมีเหตุผลว่าการปิดฝาหม้อให้สนิท “ต้องไม่ผิดฝาผิดตัว” ส่นอันอื่นนั้นก็ดีแต่ต้องพิจารณาว่าเขาผลิตมาเพื่อการใด อันนี้เป็นตัวแปรสำคัญประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง ท่านจะต้องทำการพิจารณาเลือก แล้วทดสอบจนแน่ใจแล้วว่าใช้ได้ดีและทำนายได้ถูกต้องแม่นยำ คือแบบของการผูกดวง โดยใช้แบบพระอาทิตย์อุทัยจริง ลบเวลาท้องถิ่น, แบบไม่ลบเวลาท้องถิ่น หรือแบบพระอาทิตย์อุทัย 06.00 น. ลบเวลาท้องถิ่น หรือแบบไม่ลบเวลาท้องถิ่น หรือวางลัคนาแบบพหินาที ซึ่งได้ทดสอบแล้ว คนเกิดในวันเวลาเดียวกัน การวางลัคนาผิดองศาผิดราศี ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผลพยากรณ์คลาดเคลื่อนไปเป็นคนละอย่าง ตามหลักความจริงคนๆเดียวกันจะทายต่างกันไม่ได้ ซึ่งอันนี้ก็เถียงกันมาไม่จบเหมือนกัน ซึ่งท่านจะต้องพิจารณาและทดสอบให้เห็นผลจริงอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อนจึงเลือกใช้ โอกาสผิดพลาดจะมีน้อย
ที่กล่าวมาแล้ว 2 เรื่องนั้นเป็นเรื่องของหลักวิชา ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเที่ยงตรงของวันเวลาเกิด วิชาโหราศาสตร์ระบบจักราศี ใช้วันเวลาเกิดเป็นอุปกรณ์สำคัญในการคำนวณผูกดวงวางลัคนา หากวันเวลาเกิดเขาผิดต่อให้โหรเก่งเหมือนเทวดาก็ทายเขาไม่ถูก ในทางกลับกันหากได้วันเวลาเกิดที่ถูกต้องแต่โหราจารย์อ่อนด้อยในหลักวิชาการ ถึงวันเวลาเกิดจะตรงอย่างไรก็ทายไม่ถูกเหมือนกัน อันนี้ผู้ดูและโหราจารย์ผู้ทำนายควรพิเคราะห์
ฉะนั้น ถ้าได้พิเคราะห์เลือกเฟ้นปกรณ์โหร ทดสอบเป็นอย่างดีแล้ว โอกาสผิดพลาดทั้งผู้ดูและผู้พยากรณ์ก็คงจะมีน้อยลง ว่ากันถึงเรื่องการดูดวงแล้วมันมีอะไรที่ละเอียดลึกซึ้ง จนสุดจะพรรณนา บุรพาจารย์ในอดีตศึกษากันมาทั้งชีวิตก็ยังไม่ถึงที่สุด ที่พอจะทำให้เห็นผลได้มีอยู่สองประการคือ
1. ตำรา ไม่มีโหราจารย์คนใดที่เก่งได้โดยไม่ศึกษาตำรา ตำราที่ดีๆนั้นก็พอมีอยู่ ในภาวะปัจจุบันที่ข้าพเจ้าพอจะแนะนำได้ก็มีของ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร, อาจารย์เชย บัวก้านทอง, อาจารย์ พ.อ.ประจวบ วัชรปาน, อาจารย์สิงโต สุริยาอารักษ์, อาจารย์พลูหลวง, พอ.พิเศษ เอื้อน มณเฑียรทอง และยังมีอีกหลายท่านที่รวบรวมเรียบเรียงขึ้นมาภายหลัง ก็นับว่าเป็นอย่างดีและมีประโยชน์ต่อวงการโหรทั้งสิ้น ต้องกราบขอบพระคุณที่ท่านได้เสียสละหยาดเหงื่อแรงงาน เพื่ออนุชนโหรรุ่นหลัง
แต่ผู้เขียนเห็นว่า ตำราทุกเล่มก็เขียนขึ้นมาตามหลักตำราดั้งเดิม ลอกเรียนรวบรวมต่อกันมาเรื่อยๆ จะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนได้ก็มิใช่ “หลัก” ส่วนหลักนั้นคือเสาแก่นจะแจกแจงรายละเอียดคงไม่ได้ บูรพาจารย์ผู้แตกฉานจึงใส่ประสบการณ์ที่ตนได้ค้นเจอเพิ่มเข้าไปเพื่อขยายความ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะบรรยายให้ละเอียดลออใช้กับทุกดวงได้ เพราะมันไม่เหมือนกันสักดวง และปกรณ์หลักเกณฑ์ในวิชาโหร มันก็มากมายเหลือคณานับ ศึกษากันอย่างไรก็ไม่จบสักที ความสำคัญในข้อต่อไปจึงเกิดขึ้น
2. ครู อาจารย์เป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดที่จะทำให้เก่งและแตกฉาน เกือบจะทุกท่านที่ได้ศึกษาวิชาโหรมาบ่นว่าตำราโหรอ่านยากเข้าใจยาก ผู้เขียนเห็นด้วยเพราะจะเขียนให้รู้ในสิ่งละเอียดที่สุดด้วยข้อความหยาบๆนั้น เป็นไปได้ยาก จะเขียนกฎเกณฑ์เป็นดวงๆไป ก็ไม่ไหว จึงต้องเขียนเป็นหลักใหญ่ใจความไว้ บางข้อความก็สองเงื่อนสองแง่ต้องตีความ เช่น
พฤหัส – เสาร์, เสาร์ – ราหู ได้คู่ชิด
มักแยกผิดพรากคู่ดูน่าขัน
กลับเอาทาสชาติชู้ขึ้นชูชัน
ถ้าอยู่ สิงห์ กุมภ์ กันย์ กักขลา
ในบรรทัดสุดท้ายจะเห็นว่า ดาว ๕ ๗ , ๗ ๘ ถ้าอยู่ราศีสิงห์ ราศีกุมภ์ ราศีกันย์ กักขลา พจนานุกรมเขียน กักขฬา แปลว่า หยาบคาย สามหาว แต่ถ้าตีความตามพยัญชนะอย่างนั้นก็ชัดเจน แต่ถ้าตำราเขียนว่า
ถ้าอยู่สิงห์ กุมภ์ กันย์ กักขลา อย่างนี้ความหมายเปลี่ยนไปเลย นั้นหมายความว่า ถ้าดาว ๕ ๗, ๗ ๘ กุมกัน อยู่ในราศีสิงห์ถึงจะกักขฬา ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามันดิ้นได้ในพยัญชนะและความหมาย อีกอย่าง
ผิว์จะฆาตลัคนาอายุขัย อสุรินทร์ถึงลัคนาใน
บาปเคราะห์จรไปมาทับกัน อีกพระจันทร์นั้นไปทับในลัคนา
ทายตัดชีวาถึงอาสัญ
บทความท่อนอื่นอ่านแล้วพอเข้าใจ แต่อะไรคือลัคนาใน อ่านไปอ่านมาตำราตอบไม่ได้
ไม้เด็ดเคล็ดลับส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ในคำโคลงต่างๆซึ่งบางอย่างเข้าใจยาก และบางอย่างเป็นคำศัพท์ภาษาบาลีเข้าใจยากเหมือนกัน เช่น พออ่านมาถึงเรื่อง ดาวคุ้มโทษคุ้มภัย มีโคลงบทหนึ่ง ว่า
เจ็ดองค์ส่งโทษร้าย กาจฉกรรจ์
ครูช่วยอาจแบ่งปัน โทษได้
ผิว์ครูสาปลงทัณฑ์ ใครอื่น
เหล่าเทพไป่ช่วยได้ ผิว์แม้อินทร์พรหม
จากหนังสือเกร็ดโหรของ อ.เชย บัวก้านทอง
อ่านไปแล้วสงสัยว่า เจ็ดองค์น่ะ องค์ไหนบ้างแล้วส่งโทษร้ายให้อย่างไร แล้วใครคือครูที่จะมาช่วย หากท่านโกรธขึ้นมาจะลงโทษเสียเอง แล้วถามว่าท่านมีวิธีการลงโทษอย่างไร ถึงขนาดเทวดา พระอินทร์ พระพรหม ยังช่วยไม่ได้ แสดงว่าครูคนนั้นฤทธิ์มาก คนที่มีความรู้พอควรพอเดาออกว่า ครูคือ ดาวพฤหัส แล้วดาวพฤหัสจะลงโทษอย่างไร ที่มีโทษถึงตาย